เทศน์พระ

เสมอต้น

๒๗ ต.ค. ๒๕๕๘

 

เสมอต้น
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ฟังธรรม วันนี้เป็นวันมหาปวารณา ฟังธรรมเป็นครั้งสุดท้ายในพรรษานี้ ออกพรรษาแล้ว เห็นไหม ออกวิเวก ออกพรรษาแล้วเราหาที่สงบสงัดกันเพื่อบำรุงรักษาหัวใจต่อไป ผู้ที่อยู่ต่อไป เห็นไหม ผู้ที่ต้องสิกขาลาเพศไป มาบวชแล้วเพื่อเป็นคนสุก คนสุกคือเข้ามาศึกษาธรรมวินัย ถ้าศึกษาธรรมวินัย บวชเป็นประเพณีเขาก็บวชมาแล้วศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียนปริยัติ เรียนปริยัติคือเรียนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่เรามาบวชในภาคปฏิบัติ แล้วภาคปฏิบัติ เห็นไหม เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพุทธะ พุทธะคือกำหนดหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราจะเข้าไปสัมผัสด้วยปัจจัตตัง ด้วยสันทิฏฐิโก ได้สัมผัสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวใจของเรานี้ ถ้าเราบวชมาภาคปฏิบัติ

ถ้าบวชภาคปฏิบัติแล้ว เห็นไหม เราบวชของเรา เราพยายามตั้งสติของเรา ทำสมาธิของเรา ถ้าได้สมาธิได้ เราก็ได้สัมผัสธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครปฏิบัติแล้วถ้าจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาฝึกหัดใช้ปัญญาไป ฝึกหัดใช้ปัญญาไป เห็นไหม เราอยู่ทางโลก เราใช้ปัญญาของเราศึกษามาจนมีวิชามีความรู้ เราทำหน้าที่การงานของเรามา เราจะต้องมีสติมีปัญญาในหน้าที่การงานของเรา เราถึงจะมีปัญญาของเรารักษาตำแหน่งหน้าที่การงานของเราได้

ถ้าเราศึกษามาทางโลก ทางโลกเป็นสุตมยปัญญา เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติมันจะมีภาวนามยปัญญา มันฝังไว้ในหัวใจของเราไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราทำมาหากินได้มา ๑ บาท เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ๑ สลึง เราใช้ทำทุนของเราต่อไปอีก ๑ สลึง เราใช้เลี้ยงครอบครัวของเรา ๑ สลึง อีก ๑ สลึงนั้นเราฝังดินไว้ ฝังดินไว้คือทำบุญกุศล นั้นทางโลกเขา เขาทำของเขาด้วยศรัทธาความเชื่อของเขาในเรื่องของทาน

แต่ของเรา เราบวชมาแล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเรามีสติมีสมาธิมีปัญญาขึ้นมา จิตใจของเราได้ฝังคุณธรรมไป สัจธรรมนี่ได้ฝังคุณธรรมของเราเข้าไป ถ้าฝังคุณธรรมของเราเข้าไป เราตั้งสติระลึกถึงความเป็นสมณะของเรา เห็นไหม เราสิกขาลาเพศไปแล้ว เราทำหน้าที่การงานของเรา เราระลึกถึง เราเคยทุกข์เคยยากมา เราเคยบวชเรียนมา เห็นไหม ฉันข้าวมื้อเดียว เราอยู่ด้วยปัจจัยเครื่องอาศัย มีปัจจัยเครื่องอาศัยนี้เราก็ดำรงชีวิตได้ถึง ๓ เดือน เราสึกมาเป็นฆราวาสแล้วเราไปทำมาหากิน ถ้ารู้จักประหยัด รู้จักมัธยัสถ์ ไม่ฟุ่มเฟือย เงินทองหามารู้จักเก็บรู้จักสอย มันจะเป็นประโยชน์กับชีวิตนั้นไป

พูดถึงมาบวชเป็นพระป่า พระกรรมฐาน บวชมาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มีคุณธรรมในหัวใจของเราขึ้นมา ถ้าบวชวัดบ้านขึ้นมา เขาก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาแล้วก็ซาบซึ้ง ซาบซึ้งเพราะว่าเราเป็นชาวพุทธไง ศึกษามาให้เป็นผู้ที่เป็นบัณฑิต เป็นบัณฑิตโดยที่มีปัญญา สิกขาลาเพศไปแล้วได้ใช้ชีวิตทางโลกไง ทางโลกฆราวาสของเขา นั่นพูดถึงเวลาถ้าสิกขาลาเพศไป

ผู้ที่อยู่ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต่อหน้าไป ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติต่อหน้า เห็นไหม ปฏิบัติก้าวหน้าต่อไป ถ้าก้าวหน้าต่อไป เราประพฤติปฏิบัติต้องให้มันมีความสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย ความเสมอต้น เห็นไหม เสมอต้น เราตั้งใจสิ่งใด เราทำสิ่งใดในพรรษาขึ้นมาเราก็ได้สมบุกสมบันขึ้นมา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติด้วยความเป็นจริงของเรา

เวลาออกพรรษาแล้วถ้าออกไปวิเวก ออกไปหาที่สงบสงัดเพื่อรักษาหัวใจของเรา เพื่อดูแลหัวใจของเรา เพื่อสืบต่อการกระทำของเราให้มันเจริญงอกงามขึ้นไป ถ้าเจริญงอกงามขึ้นไป เห็นไหม หาประสบการณ์ของชีวิต หาประสบการณ์ของการประพฤติปฏิบัติ หาครูบาอาจารย์คอยชี้นำไง

ถ้าครูบาอาจารย์คอยชี้นำ เพราะครูบาอาจารย์ท่านเป็นความจริง เห็นไหม ธรรม ธรรมจะอยู่ด้วยกันต่อเมื่อท่านแสดงธรรม ศีลจะอยู่ด้วยกันต่อเมื่ออยู่ด้วยกันคุ้นเคยกัน เราจะเห็นหมดล่ะ ว่าพระ หมู่คณะของเราจะมีศีล มีศีลจริงหรือเปล่า ความอยู่ด้วยความเห็นกันมันแสดงออกมาหมด ศีลจะเข้าสังคมใดก็ได้ สังคมใด เห็นไหม เพราะเรามีความสะอาดบริสุทธิ์ มือของเราถ้าไม่มีแผล เราจะจับต้องสิ่งใดนะ มันก็ไม่กัด มันก็ไม่มีความเจ็บแสบ ถ้ามือของเรามันมีแผล เราไปโดนน้ำเกลือ โดนสิ่งใดมันจะแสบ มันจะเจ็บปวดของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าศีลมันสมบูรณ์ ก็มือปกติไง มือไม่มีบาดมีแผลไง จะเข้าสิ่งใดก็ได้ไง เห็นไหม ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาในใจของเรา ถ้าทำคุณธรรมในหัวใจของเรา ถ้ามันเสมอต้นเสมอปลาย การเสมอต้นเสมอปลาย การปฏิบัติสม่ำเสมอมันจะเป็นประโยชน์กับเรา การปฏิบัติมันไม่สม่ำเสมอไง มันไม่สม่ำเสมอ กิเลสมันแซงหน้าแซงหลังไง ถ้ากิเลสมันแซงหน้าแซงหลัง มันคิดมันจินตนาการของมันไป ถ้ามันจินตนาการของมันไปมันเป็นจินตมยปัญญา ถ้าจินตมยปัญญายังมีสติอยู่มันก็ไม่ทำให้ผิดจนมากเกินไป

แต่ถ้ามันจินตมยปัญญานะ ถ้าขาดสติไปมันสำคัญตน พอสำคัญตนขึ้นไปแสดงตัวออกอย่างนั้น เห็นไหม มันเหยียบย่ำเขาไปหมด เวลามันเหยียบย่ำเขาไป มันเหยียบย่ำเพราะอะไร เหยียบย่ำเพราะความสำคัญตนไง สำคัญตนว่าตนเองมีความรู้มีความสามารถไง ถ้ามีความรู้ความสามารถ ความสามารถจากอะไรล่ะ ความสามารถจากการจินตนาการอย่างนั้นใช่ไหม ถ้ามันเป็นความจินตนาการอย่างนั้น นี่ไง ถ้ามันความเสมอต้นเสมอปลาย มันมีหลักมีเกณฑ์นะ มันไม่ทำให้จิตใจมันแซงหน้าแซงหลังออกไปอย่างนั้น

ถ้าแซงหน้าแซงหลังออกไป มันแซงหน้าแซงหลังไปด้วยอะไร แซงหน้าแซงหลังด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อดีตอนาคตแก้กิเลสไม่ได้ สิ่งที่แก้กิเลสได้มันเป็นปัจจุบัน ถ้าเป็นปัจจุบันจิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นไปแล้ว ปัญญามันเกิดขึ้นมาแล้วมันสำรอกมันคายออกไป มันเป็นความจริงในหัวใจ มันจะแซงหน้าแซงหลังไปไหน เพราะอะไร เพราะมันไม่สีลัพพตปรามาส มันไม่ลูบไม่คลำ ความไม่ลูบไม่คลำคือมันเป็นอันเดียวกันไง

จิตเราเป็นอย่างนั้น ความรู้สึกเราเป็นอย่างนั้น มันไม่มีการลูบๆ คลำๆ แต่ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเสวยคือส่งออก คือพลังงานมันขับเคลื่อนไป ดูความคิดๆ ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดมันเกิดดับบนความรู้สึกนี้ ความรู้สึกคือตัวจิต ความคิดมันเกิดจากความรู้สึกนี้ ถ้าไม่มีความรู้สึกคือคนตาย คนตาย เห็นไหม คนเหม่อลอย คนขาดสติ เขาก็ไม่คิดด้วย ในเมื่อจิตเขายังอยู่ ความรู้สึกของเขายังอยู่ แต่เขาเหม่อลอยไง เหม่อลอยจนไม่มีความคิด

นี่ไง จินตนาการไปจนเหม่อลอย จนไม่มีความคิดใช่ไหม พอไม่มีความคิดขึ้นมา จะทำสิ่งใดก็ทำแต่อารมณ์ความรู้สึกของตัวใช่ไหม เวลาจะทำความรู้สึกตามอารมณ์ของตัว เวลาตัวเองคิดสิ่งใดขึ้นไปก็ว่ามันแนบเนียนใช่ไหม คนที่เขามีสติมีปัญญา เขารู้เห็นเขารู้ทันทั้งนั้นแหละ เพราะอะไร เพราะมันแซงหน้าแซงหลัง มันไม่เป็นความจริงไง นี่ไงมันไม่เสมอต้นเสมอปลาย ถ้ามันแซงหน้าแซงหลังไปมันก็ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากขับเคลื่อนไป

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรานะ ความเสมอต้นเสมอปลาย เห็นไหม ความเสมอต้นเสมอปลาย เวลาเราบวชเรียนขึ้นมา เรามีสติมีศรัทธามีความเชื่อ มีศรัทธามีความเชื่อมันอบอุ่น พอมันอบอุ่นความคิดๆ มันเทียบเคียงสิ่งใดไป แต่ถ้ามันอบอุ่นของมัน มันคือตัวของมัน ถ้าตัวของมัน ถ้าเรามีสติเรากำหนดพุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สิ่งที่มันเป็นความปกติที่มันมีความอบอุ่น ความอบอุ่นก็มันปล่อยวางจากโลกเข้ามาเป็นตัวของมัน แต่ตัวของมันๆ ไม่มีสติ มันไม่สงบระงับเข้าไปจนความสมควรแก่การปฏิบัติธรรม

ความสงบสงัดของเรา เห็นไหม ดูความสงบสงัดมันเป็นสมาธิ มันเป็นความตั้งมั่นของปุถุชน ปุถุชน กัลยาณปุถุชน คำว่า ปุถุชนคนหนา คนหนามันสงบระงับเข้ามาด้วยอำนาจวาสนาบารมีด้วยบุญกุศลของเราไง เราบวชเรียนขึ้นมา บวชเรียนขึ้นมาด้วยบุญกุศลจิตใจมันอิ่มเต็มของมัน มันก็ไม่วอกแวกวอแวของมัน นี่ไง แต่มันเป็นปุถุชน แต่ถ้ามันพุทโธ พุทโธ แม้แต่มันสงบมันปล่อยวางของมัน แต่มันเป็นปุถุชน มันเป็นสมาธิของปุถุชน เห็นไหม มันเป็นสมาธิ สมาธิคือปล่อยวางของปุถุชน

ปุถุชนคนหนา คนหนา เห็นไหม ดูสิตะกอนในแก้วน้ำ ขยับปั๊บตะกอนมันก็จะขุ่นมัวขึ้นมาทันที นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นปุถุชน มันปล่อยวางๆ มันชั่วคราว มันไม่มีสิ่งใดมากระทบ ถ้ามีสิ่งใดมากระทบมันฟูทันที แต่ด้วยอำนาจวาสนาบารมี ด้วยบุญกุศล มันก็สงบระงับ มันเป็นปุถุชน

แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันมีกิจจญาณ มันมีการกระทำ จิตมีการเคลื่อนไหว จิตมีการเคลื่อนไหวมันทำความสะอาดในตัวมัน ถ้ามีการเคลื่อนไหว ดูสิ นาโน สิ่งที่ละเอียดที่สุดเล็กที่สุดคือความรู้สึก ความรู้สึกมันละเอียดลึกซึ้งจนจับต้องมันไม่ได้ พอจับต้องไม่ได้มันเป็นปุถุชน มันก็มีฝุ่นมีขุ่นมีตะกอนหมองหัวใจ แต่มันยังไม่กระทบมันก็ยังไม่แสดงออกไง

แต่ถ้าเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ น้ำที่มันมีสิ่งเจือปนมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ เราก็พุทโธ พุทโธ เราทำความสะอาดของมัน ทำความสะอาดของมันเพื่ออะไร เพื่อความใสสะอาด เพื่อมีพลัง คำว่ามีพลัง เห็นไหม จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่น สัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นมีความสุข ความสงบของมัน ความสุขความสงบเกิดมาจากไหนล่ะ ความสุขความสงบมันเกิดมาจากการกระทำของเรา เราทำบุญกุศล เรามีอำนาจวาสนา เราถึงมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นมาด้วยอำนาจวาสนาด้วยบุญกุศลของเรา มันอบอุ่นของมัน มันอบอุ่นในตัวมัน อบอุ่น อบอุ่นแต่ตะกอนมันฟูตลอด ตะกอนมันไม่มีอะไรไปกระทบมัน

แต่ถ้าเราพุทโธ พุทโธ เราบวชเป็นพระ เราเป็นสมมุติสงฆ์ แต่เรามีสติปัญญาของเรา เรามีสติ เรามีการประพฤติมีการปฏิบัติของเรา มีการปฏิบัติของเรามันเคลื่อนไหว จิตมันเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวเพื่อความสะอาดไง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิคือความคิด ความคิด เห็นไหม ความคิดของเรามันคิดยอกคิดย้อน คิดมีแต่ทำลายตัวเอง ถ้ามันคิดทำลายตัวเอง เห็นไหม เราตรึกในธรรมๆ คิดโดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเกิดดับ ความคิดมันมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป แล้วความคิดมันเป็นความคิดที่บวกหรือความคิดที่ลบ ถ้าความคิดที่บวก แม้แต่ความคิดที่บวกมันก็เป็นอนิจจัง แม้แต่ความคิดที่ลบ ความคิดที่ลบทำให้เกิดน้อยเนื้อต่ำใจ ทำให้เกิดเจ็บช้ำน้ำใจ ความคิดที่ลบ ความคิดที่ลบเป็นยาพิษ ยาพิษที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นมาในหัวใจของเราเลย เราก็คิดขึ้นมาทำลายตัวเราเอง ความคิดที่เป็นบวก ความคิดที่เป็นบวกมันก็เป็นอนิจจัง มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถ้ามีสติปัญญามันก็รักษาได้ มันตั้งใจทำของมัน มันดูแลของมัน มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ อบรมสมาธิก็ไอ้พวกตะกอนหมองใจไง ไอ้พวกตะกอน เห็นไหม ถ้ามันทำให้มันสะอาดขึ้น แม้แต่น้ำมันจะกระฉอก น้ำมันจะเคลื่อนไหวอย่างไง ตะกอนมันมีน้อยหรือตะกอนไม่มีเลย น้ำใสมันก็เป็นน้ำใสอยู่อย่างนั้น

สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิน้ำที่ใสที่ไม่มีขุ่นตะกอน เห็นไหม ปุถุชน กัลยาณปุถุชน ปุถุชนคือคนหนา คนหนาสิ่งที่ตะกอนนอนเนื่องกระทบสิ่งใดแล้วมันก็ออกเลย แต่ที่มันยังไม่ออกอยู่นี่ ที่เราภูมิใจเรามั่นใจว่าจิตของเราดี จิตของเราดี จิตของเราดีเพราะบุญอำนาจวาสนามันครอบไว้ๆ เพราะบุญกุศลมันครอบไว้ มันดูแลไว้ แล้วพอบุญกุศลมันหมดนะ มันร้อน มันร้อน มันร้อน ไม่มีอะไรอยู่ได้เลย ไม่มีอะไรดีสักอย่างหนึ่งเลย ทุกอย่างมีแต่ความเดือดร้อนไปหมดเลย

นั่นไง ไหนว่ามันดีไง เพราะมันดี เพราะเวลากิเลสมันฟูขึ้นมา มันร้อนไปหมด แต่เวลานี่บอกมันสงบ มันระงับ มันสงบมันระงับด้วยโลกียปัญญา ด้วยความคิดทางโลก เห็นไหม ส่งออกๆ เป็นโลกหมด เราเกิดจากโลก เราอยู่กับโลก ถ้ามันมีสติมีปัญญามันเสมอต้นเสมอปลาย เสมอต้นเสมอปลายมันสม่ำเสมอ การปฏิบัติสม่ำเสมอ การดูแลหัวใจของเรานะ มันสำคัญตรงนี้นะ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ถ้ามันมีเหตุมีปัจจัยอะไรไปดูแลรักษามัน

สิ่งที่จะดูแลรักษาใจของตัวมันก็สติ ด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาของตัว ถ้าทำสิ่งใดไม่ได้ เกิดปัญญาไม่ได้ก็ทำสมาธิไว้ นี่ขันติธรรม อดทน อดทนอดกลั้น อดทนอดกลั้นจนเหตุการณ์มันล่วงเลยไปแล้ว มันถอนหายใจเลย ถ้าไม่อดทนอดกลั้นมันก็เกิดกระทบกระทั่ง มันก็เกิดการกระทำก็เกิดกรรม

กรรมที่ทำ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมที่จำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แล้วการกระทำอันนั้นกรรมมันก็ต่อเนื่องไป แต่ถ้าเราอดทนอดกลั้นด้วยขันติธรรมๆ เราไม่ทำสิ่งใด เราไม่ให้กิเลสมันยุแหย่ ไม่ให้กิเลสมันกระทำงานของมัน เรามีขันติธรรมๆ อดทนไว้ เวลาอดทนไว้ เวลาเหตุการณ์นั้นผ่านไปนะ เหตุการณ์นั้นผ่านไปมันพอใจนะ มันภูมิใจนะ ถ้าเราไม่มีขันติ ไม่มีขันติธรรม เรามีการกระทำไป เราจะเสียใจกับการกระทำของเราทันทีเลย ถ้ามันผ่านไป ถ้ามันได้สตินะ

ถ้ามันไม่ได้สติเพราะกิเลสมันปิดหูปิดตา มันก็จะทำให้รุนแรงต่อเนื่องไป ทำให้รุนแรงต่อเนื่องไปมันก็ตกต่ำไป จิตมันมีการกระทำ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน มันจำแนกกรรมของสัตว์ดวงนั้น ดวงที่กระทำนั้นให้ห่างจากธรรมะนี้ไปเรื่อยๆ ให้มันตกต่ำไปเรื่อยๆ ตกต่ำไปด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากแล้วฝืนกลับมาไม่ไหวไง

นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นอำนาจวาสนา แต่ในการประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา เห็นไหม จิตเจริญๆ จิตเจริญเพราะอะไร จิตเจริญเพราะว่าด้วยการบำรุงรักษา จิตจะเจริญได้ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยการบำรุงรักษาอย่างเดียว อย่างอื่นไม่มี อย่างอื่นยังไงมันก็เป็นอำนาจวาสนาของตัว มันก็เหมือนฤดูกาล ฤดูกาล เห็นไหม เดี๋ยวก็หน้าฝน หน้าหนาว แล้วก็หน้าร้อน แล้วกลับมาฤดูฝน ฤดูหนาว มันเปลี่ยนแปลงไปฤดูกาล

อารมณ์ของเราจะให้มันเปลี่ยนไปตามฤดูกาลใช่ไหม ถ้าฤดูกาลมันก็เหมือนผู้หญิงไง เวลาระดูมันทำร้าย เห็นไหม ดูสิ อารมณ์คนมันเปลี่ยนแปลง แล้วแต่มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นเหรอ เราไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่ใช่อย่างนั้น เราจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ความเสมอต้นเสมอปลายของเรา ถ้าเรารักษาขึ้นมาแล้วพยายามฝึกหัดให้เป็นนิสัย ขอนิสัย ขอนิสัยก็จริตนิสัยไง จริตนิสัยมันเป็นอย่างนั้น มันแข็งแรงอย่างนั้น มันประโยชน์อย่างนั้น

มันเป็นเรื่องโลกๆ เรื่องภายนอกนะ เพราะมันจริตนิสัยอย่างนี้ ด้วยความตั้งมั่นของมันอย่างนี้ เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้วมันจะมีโอกาสไง โอกาสเพราะเริ่มต้นมาจากความมุ่งมั่นของเรา แต่ด้วยความไม่มุ่งมั่นของเรา เราเป็นคนจับจด เวลาทำสิ่งใดไปมันจะไม่ได้ประโยชน์ไง มันไม่ได้ประโยชน์เพราะอะไร มันไม่ได้ประโยชน์เพราะว่าความไม่เสมอต้นเสมอปลาย การปฏิบัติไม่สม่ำเสมอทำให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไม่เข้าถึงธรรม

ถ้าการปฏิบัติสม่ำเสมอ ดูครูบาอาจารย์ของเราสิ เวลาจิตใจท่านเข้าหลักเข้าเกณฑ์ เดินจงกรมเป็นเดือนเป็นปี เดินอยู่อย่างนั้น เดินอยู่อย่างนั้นเพราะอะไร ความสม่ำเสมอเพราะอะไร เพราะมันเข้าด้ายเข้าเข็ม เวลาจิตมันเข้าด้วยเข้าเข็มแล้วมันจะรักษา มันจะดูแล เพราะมันปรารถนา มันอยากจะให้มันถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ มันทำต่อเนื่อง ดูแลรักษาจากสติเป็นมหาสติ จากปัญญาเป็นมหาปัญญา

มหาปัญญา เห็นไหม รู้เท่ากับความคิดของโลกด้วย รู้เท่ากับความคิดของตัวเองด้วย แล้วความคิดของตัวเองพูดออกไปกระทบกับโลกหรือไม่ ถ้ากระทบกับโลก กระทบเพื่อดัดแปลง เพื่อเป็นประโยชน์ เหมือนครูบาอาจารย์ เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ ท่านกระทบ กระทบให้โลกได้คิด กระทบให้โลกได้พลิกแพลง ความกระทบอย่างนั้นกระทบเพื่อเป็นประโยชน์ไง แต่ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์นะ ท่านก็เก็บของท่านไว้ ท่านเก็บของท่านไว้ เห็นไหม

นี่ไง ถ้ามันมีมหาสติ มหาปัญญา ขึ้นมาเป็นภายในขึ้นมา นี่ไง สัจธรรม สัจธรรมมันเป็นแบบนี้ไง เวลามันสงบระงับ มันสงบระงับมาจากภายในนะ นี่ไงเวลามันไม่เสมอต้นเสมอปลายนะ เวลามันแซงหน้าแซงหลังมันก็ไปอย่างหนึ่ง ขอนซุงไง เวลาขอนซุง เห็นไหม บวชมาแล้วเป็นภาระเขาทั้งนั้น ขอนซุง หมู่คณะจะเดินไปไหนมันต้องลากขอนซุงไปด้วย มันไม่เอาการเอางาน มันไม่รับรู้อะไรเลย โลกเขาจะไปถึงไหนกันแล้ว

คนเรา เห็นไหม ดูสิ อาหารเก็บไว้มันก็เน่าเสียทั้งนั้น มันก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ต้องอยู่ ต้องกิน ต้องบิณฑบาตทุกวัน เห็นไหม ข้าวสดๆ ร้อนๆ เขาหุงหามา เปิดหม้อขึ้นมาไอขึ้นเลย อุ่นๆ ร้อนๆ เลยล่ะ ตักใส่บาตรพระมา มันสดๆ ร้อนๆ ทุกวันเลย ด้วยปลีแข้ง ด้วยปลีแข้ง ด้วยการกระทำของเรา มันก็ไม่มีขอนซุงอยู่ มันก็ไปด้วยความราบรื่นใช่ไหม แต่ถ้ามันมีขอนซุง เห็นไหม หมู่คณะไปไหนมันลากไว้ การกระทำนี่ เวลาแซงหน้าแซงหลังก็เป็นเรื่องหนึ่ง เวลาแซงหน้าแซงหลังไม่ได้มันก็กลายเป็นขอนซุงเลย ถ้าใครเป็นขอนซุงมันก็เป็นปัญหาไง นี่ไง สังฆะ เวลาเราบวชมาแล้ว บวชเป็นสงฆ์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มันอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่เวลาพระกรรมฐาน พระธุดงค์เรา เห็นไหม เวลาออกธุดงค์เขาให้ไปองค์เดียว ไปองค์เดียวเหมือนพรหม สุดยอด ไม่ต้องห่วงสิ่งใดข้างหน้าข้างหลังเลย ถ้ามันไป ๒ ไป ๓ มันเป็นเทวดาแล้ว ต่ำมาเรื่อยๆ

นี่ไง แต่เราเป็นหมู่เป็นคณะ อารามที่อาศัยของผู้ที่ไม่มีเรือน เราสละเรือนมาแล้วมาเป็นภิกษุ ภิกษุเห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสาร เรากลับเข้ามาอยู่ในวัด ผู้นำที่ดีท่านจะปกครองดูแล คำว่าปกครองดูแล เห็นไหม ปกครองดูแลคือดัดแปลงจริตนิสัย จริตนิสัยนี่ดัดแปลงให้เข้าสู่ส่วนรวม

น้ำ ดูสิ ถ้าน้ำสะอาด เห็นไหม น้ำสะอาดร่วมกันมันก็น้ำสะอาด เวลาฝนตก เห็นไหม ฝนตกเวลาน้ำจืดลงไปในน้ำเค็มมันมีปฏิกิริยา ปลาตายกันเกลื่อนเลย เพราะอะไร เพราะน้ำเค็มมันมีจำนวนมากกว่า ไหลไปแล้วมันยังเป็นน้ำกร่อย สัตว์น้ำกร่อย เห็นไหม สัตว์น้ำเค็ม สัตว์น้ำกร่อย สัตว์น้ำจืด ปลาลอยตายเป็นแพเลย แพลงตอนมันจะได้หรือไม่ได้ เกิดปฏิกิริยาทางเคมี

นี่ไง นี่ก็เหมือนกัน คนคนหนึ่ง ในหมู่คณะคนหนึ่งอยู่ด้วยกันในสังคม สังคม เห็นไหม เหมือนกับน้ำในสระ น้ำในสระ น้ำเสียเราเทลงไป เห็นไหม เป็นน้ำสองสีเลยล่ะ น้ำมันดัดแปลง แล้วผู้นำทำอย่างไง การกระทำ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ เห็นไหม เราทำสิ่งใด เราเป็นหมู่เป็นคณะ หมู่คณะที่มันเป็นสังฆะ มันเป็นที่ความสะอาดบริสุทธิ์ ความสะอาดบริสุทธิ์ เราอยู่ด้วยกันด้วยความหวัง ปรารถนาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์

ความสะอาดบริสุทธิ์มันต้องสะอาดบริสุทธิ์จากศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันมีศีล เราเสมอกันโดยศีล เราเสมอกันโดยธรรม ความอยู่ด้วยกันความคิดความเห็นมันใกล้เคียงมันต่างๆ กัน มันจะเป็นประโยชน์มาก แต่ถ้ามันมีความขัดแย้งกันๆ ความขัดแย้งการประพฤติปฏิบัติมันก็มีกังวลแล้ว กังวลคือนิวรณธรรม นิวรณธรรมกางกั้นสมาธิ นิวรณธรรมจะเกิดปัญญา ปัญญาอย่างไง มันเกิดนิวรณธรรม นิวรณ์นั้นไปเกิดเป็นปัญญา ปัญญาก็เลยเป็นปัญญาของกิเลส กิเลสมันก็เลยมีแต่ความคิดสร้างเล่ห์กลสร้างค่ายกลเพื่อจะเอาชนะคะคานกัน กลายเป็นปัญหาไปหมดเลย

ทั้งๆ ที่ว่าเราจะมาชำระล้างกิเลสนะ เราจะมาสละ เราจะมาฆ่ามัน เราจะมาฆ่ามันแล้วมันเป็นอย่างไงก็ไม่รู้ตัว กิเลสมันเป็นอย่างไงก็ไม่รู้ กิเลสก็เคยแต่ศึกษามา กิเลสก็เป็น ก. ไก่ สระอิ แล้วสระเอ ล. ลิงนะ ส.เสือ นั่นน่ะกิเลสนะเหรอ ไอ้นั่นมันชื่อ เขาตั้งชื่อไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วถึงได้บัญญัติไว้ไง ว่าธรรม ธรรมะคือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ากิเลสมันก็ความโลภ ความโกรธ ความหลง สิ่งที่เป็นกิเลสเห็นไหม มันออกหาเหยื่อ แล้วมันอยู่ไหน

เวลาอยู่กับเรานะมันเป็นความโลภ มันเป็นความลุ่มหลง เราบอกนี่ธรรมะกำลังจะเกิด มันก็ว่าไปนู้น แล้วเวลาเสียสละขึ้นมา มันจะเป็นธรรม มันเป็นทาน มันเป็นการเสียสละเพื่อฝึกหัดสติ มันบอกว่านี่เป็นกิเลส เพราะเราไม่ได้ผล เวลาได้ผลเราจะต้องได้ของเยอะๆ เราจะต้องได้ของด้วยความพอใจ อันนี้จะเป็นธรรม

เห็นไหมวัตถุ วัตถุมันเป็นการแสดงออกของน้ำใจ น้ำใจของคนที่เห็นวัตถุแล้ว เห็นวัตถุมันเป็นของต่ำๆ น้ำใจของเราสูงส่งกว่า นั่นนะเขาจะเริ่มมีสติมีปัญญามีคุณธรรมในหัวใจของเขา แต่ถ้าวัตถุสิ่งใดมันมีค่า แล้วเรายอมนี่จำนนกับมัน แสดงว่าจิตใจนี้ต่ำต้อยมาก จิตใจนี้เลวร้ายกว่าวัตถุนั้น วัตถุนั้นมันเป็นสิ่งที่วัตถุของทางโลก วัตถุทางนั้นเป็นของโลก มันไม่มีชีวิต มันให้คุณให้โทษใครไม่ได้ แต่หัวใจของคนที่ขาดคุณธรรมไปติดข้องมัน

แต่หัวใจที่มีคุณธรรม สิ่งนี้เขาเสียสละได้หมดเลย เขาเสียสละทั้งหมด เพราะเราเสียสละกันมาแล้ว เราเสียสละสถานะของความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์คือสิทธิเสรีภาพทางโลก เราเสียสละมาเป็นพระมีศีล ๒๒๗ มีทุกอย่างคุ้มครองตัวเรา เราประกาศตนกับโลกว่าเราเป็นภิกษุ เราเป็นพระ เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม เราจะไม่ติดข้องกับสิ่งที่เป็นเรื่องโลก

โลกมันมาจากไหนล่ะ โลกมันมาจากหมู่สัตว์ไง โลกทัศน์ของคนมันก็เป็นอย่างนั้น ดูสิ ความคิดของคน ดูความคิดของพระเรา พระเราบวชมา บวชมาเพื่อการประพฤติปฏิบัติ สิ่งใดเราก็เสียสละมาแล้ว ไปดูพระสิ พระปฏิบัติเหมือนกัน แสวงหาแต่ลาภสักการะ แสวงหาแต่ชื่อเสียง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าโมฆบุรุษตายเพราะลาภ เป็นโมฆบุรุษว่างเปล่าในใจทั้งนั้น เพราะหัวใจว่างเปล่าถึงเห็นวัตถุมีค่า เพราะหัวใจว่างเปล่าถึงเห็นชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณทางโลก ทางโลกเขาเป็นคนเสนอให้

ดูสิ ลาภสักการะ ถ้าเขาไม่ยกมือไหว้ เขาไม่สักการะตัวเอง ตัวเองก็ทนไม่ไหวแล้ว แล้วเรามีความจำเป็นอะไรจะต้องให้เขามายกมือไหว้ มือของเขา มือของเราก็มีทำไมไม่ยกมือไหว้ตัวเอง เรายังยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้เลย เพราะเราเห็นความบกพร่องของตัวเราเอง แล้วจะให้คนอื่นมายกมือไหว้ จะให้เขาสักการบูชาอยู่อย่างนั่นนะ

นี่พูดถึงว่าการจะมาฆ่ากิเลส จะมาฆ่ากิเลสนะกิริยาแค่นี้ ของแค่นี้ทำไมจะต้องเรียกร้องเอาจากเขา ตัวเราไม่มีหรือไง มือก็มี นึกขึ้นมาสิ มีห้าแสนมือกำลังยกมือกราบไหว้เราอยู่ แล้วก็ให้หัวใจมันฟูขึ้นมา ให้มันไปขึ้นก้อนเมฆ ให้มันพอใจมัน มันจะเป็นประโยชน์อะไร ถ้ามันไม่เสมอต้นเสมอปลาย การประพฤติปฏิบัติไปมันมีลุ่มๆ ดอนๆ เวลาลุ่มๆ ดอนๆ มันจะมีปัญหากับเรา ปัญหากับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั่นน่ะ

แต่ถ้าคนเราปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย เห็นไหม ความสม่ำเสมอของการประพฤติปฏิบัติ เวลาเราเสียสละเราก็รู้อยู่แล้วว่าเราเสียสละสถานะ เวลาโกนหัว ผมของเราเราเสียสละแล้วนะ เราโกนผม โกนคิ้ว โกนหนวด โกนทุกอย่าง เราเสียสละ

สมัยพุทธกาลเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาจะไว้ผมกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัดม้วยผมนั่นนะ ทางโลกเขาไม่คบ เขาถือว่าคนที่ไม่มีศักยภาพแล้ว เขาไม่คบเรา เห็นไหม เราเป็นพระ โกนหัว โกนคิ้ว โกนหนวด โกนทุกอย่าง เราเสียสละสถานะความเป็นอยู่ทางโลก แล้วเราเสียสละมาแล้ว เราเสียสละแล้ว เราก็มุ่งมั่นเข้าสู่สัจธรรม เรามุ่งมั่นสู่การประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามุ่งมั่นสู่การประพฤติปฏิบัติเราก็มุ่งมั่นเข้าสู่ทางจงกรม มุ่งมั่นเข้าสู่ที่นั่งสมาธิภาวนา อยู่โคนไม้มันจะลำบากตรากตรำขนาดไหน มันจะลำบากอย่างไง ก็ให้กิเลสมันลำบากไปกับเรา

เวลาเริ่มต้น เราเวลาคึกคะนอง เวลาเห่อเหิม อยู่ได้ ที่ไหนก็อยู่ได้ อยู่อย่างไงก็อยู่ได้ อยู่อย่างนั้นอยู่แบบสัตว์ อยู่แบบสัตว์ ดูสิ เห็นไหม พระป่า พระป่า ดูสัตว์ป่า ช้างเป็นโขลงๆ เดี๋ยวนี้ เห็นไหมคุ้มครองดูแลมัน มันแพร่พันธุ์จนมันออกมากินอาหารของชาวบ้านแล้ว สัตว์ป่าทั้งนั้นนะ เวลาคนไปหามันกลัวมันเลย

นี่เหมือนกัน เราเป็นมนุษย์ เราไม่ใช่สัตว์ป่า เราไม่ใช่มาอดทนเฉยๆ ไง อดทน เห็นไหม อดทนอยู่โคนไม้ อดทนอยู่ที่เรือนว่าง อดทนอยู่ในที่สงบสงัดเพื่อให้เขาเคารพบูชาเรา แล้วทำไมเราเคารพบูชาเราไม่ได้เหรอ เราอดทนอยู่แล้วเพราะว่าที่สงบสงัด เห็นไหม เพราะไม่ให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันออกไปหาเหยื่อ ไปเห็นรูป รส กลิ่น เสียง แล้วมันกระทบกระเทือนหัวใจ เราเข้าสู่โคนไม้ เราเข้าสู่ที่ความสงบสงัด เราเข้าสู่ที่สงบสงัดเป็นสัปปายะเพื่อจะตั้งสติปัญญา เพื่อกำหนดพุทโธ เพื่อปัญญาอบรมสมาธิให้จิตใจมันสงบระงับเข้ามา

ใจจิตถ้ามันสงบระงับเข้ามา สิ่งที่ว่าสิ่งที่เป็นที่สัปปายะ เห็นไหม อยู่ในที่เรือนว่าง อยู่ในที่สงบสงัด แล้วถ้าเราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มันจะฟุ้ง กิเลสมันโดนขีดเส้น กิเลสมันโดนต้อนเข้ามุมมันยิ่งดีดดิ้น แล้วเรามีสติมีปัญญาต่อสู้กับมัน เรามีสติปัญญาพยายามกำหนด พยายามบริกรรมให้ชนะมัน พอชนะมันด้วยพุทธคุณ ด้วยพุทธคุณ พุทธานุสสติ ด้วยธัมมานุสสติ ด้วยสังฆานุสสติ

ถ้ามีสติสัมปชัญญะพิจารณามันต้องสงบลงได้ พอมันสงบลงได้ เห็นไหม เราไม่ใช่สัตว์ป่า เราไม่ได้ทนอยู่เฉยๆ เราไม่ได้ทนอยู่ในป่าเพื่อจะไปอวดเขาว่าเป็นพระป่า เราไม่ได้อวด ดูสิ สัตว์ป่า ช้าง ดูสิ เดี๋ยวนี้เป็นโขลงๆ มันไปกินพืชไร่เขาไปหมดเลย มันอยู่ป่าเห็นไหม มันเดินไปไหนคนต้องยอมจำนนมันไปหมดเลย

แล้วเราเป็นพระ เราเป็นมนุษย์ ศากยบุตร ห่มธงชัยพระอรหันต์ ถือผ้ากาสาวพัสตร์ เราต้องมีสติปัญญาสิ เราไม่ได้อยู่ป่าแบบสัตว์ เราไม่ได้ทนเฉยๆ เราอยู่เพื่อสติด้วยปัญญา เราจะฝึกหัดขึ้นมาให้มีสติมีปัญญาดูแลเรา ดูแลให้จิตมันสงบเข้ามา ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงขึ้นมา นี่เสมอต้นเสมอปลายไง

เราปฏิบัติสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย พอเสมอต้นเสมอปลาย ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ในเมื่อมีเหตุมีปัจจัยขึ้นมา มันต้องมีสติปัญญาเพราะเราเป็นคนฝึกหัดเอง มันเป็นปัจจัตตัง สติของเรา สมาธิของเรา เราไม่ใช่ว่าไปฆ่ากิเลส ที่เขียนว่า ก.ไก่ สระอินั่น เราไม่ใช่สมาธิ ส.เสือ สระอานั่น เราเอาตัวจริงๆ นะ เอาสมาธิจริงๆ เอาสติจริงๆ เอาที่ยับยั้งอารมณ์ของเราได้ เอาความจริง เอาตัวจริง ไม่เอาชื่อ

การศึกษาเล่าเรียน เห็นไหม ศึกษาแต่ชื่อ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาทางทฤษฏี ไอ้เราว่าพระป่า พระป่า เราประพฤติปฏิบัติเอาความจริงขึ้นมา ถ้ามีสติ สติก็นี่นั่งเฉย สติรู้ทัน ถึงเวลาเราหมู่คณะ หมู่คณะทำสิ่งใดมันมีน้ำจิตน้ำใจร่วมกัน มีการกระทำร่วมกัน เพราะมันมีความละอาย มันมีความละอายมีสติสัมปชัญญะ มีความละอาย มีความเกรงกลัวต่อบาป สิ่งนี้หมู่คณะเขาได้ทำได้แสวงหามา เขาทำไว้เพื่อหมู่สงฆ์ เราเป็นคนใช้คนสอย ถ้าเราใช้เราสอย เราได้เคยร่วมกระทำกับเขาไหม เราได้ทำความสะอาดกับเขา เราได้ทำความราบรื่น เห็นไหม ทำความสะอาดเราใช้สอยของเรา สิ่งปัจจัยเครื่องอาศัยในวัดเราใช้สอย

มันทำร่วมกัน เพราะมันมีความละอาย มีความละอายมันก็มีการขวนขวาย มีการกระทำ ทำเสร็จแล้ว เห็นไหม พอทำเสร็จ ทำงานของส่วนรวมเสร็จแล้ว งานของเราก็เข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้าเรายังสงสัยสิ่งใดเราก็เปิดพระไตรปิฎก ในนี้มีตู้พระไตรปิฎกอยู่ ตู้พระไตรปิฎกก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงสัยเมื่อไหร่ก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงสัยเมื่อไหร่ในตู้เรามีประวัติครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ประวัติครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาทั้งชีวิต ท่านทำของท่านมา เราเปิดดูแนวทาง ดูตัวอย่าง

ดูสิ ดูครูบาอาจารย์ของเรามนุษย์เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ ครูบาอาจารย์ของเราก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ แล้วเรามีศรัทธามีความเชื่อ มีศักยภาพที่เราจะประพฤติปฏิบัติ ที่เราจะเอาตัวเรารอดพ้น ถ้าเอาตัวเรารอดพ้นนะ มันมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจนะ หัวใจนี้มีคุณค่า มีคุณค่ากว่าวัตถุทั้งหมด มีคุณค่าคือโลกธรรม ๘ มีคุณค่ากับที่เขายกมือไหว้ มีคุณค่าที่เขาตั้งสมณะศักดิ์สูงๆ ขนาดไหนมีค่ากว่านั้น

เพราะมีสมณศักดิ์ พอตายปั๊บพัดยศเขายึดคืนหมดเลย เอาไปให้องค์อื่นต่อ สมณศักดิ์อันนั้นมันเวียนอยู่ในหมู่สงฆ์ มันไม่ได้เป็นของใคร ศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นของเรา จิตของเรา คุณธรรมของเรา สิ่งที่เกิดจากตัวเรา ไม่มีใครมาประทานให้ จิตนี้กลั่นออกมาอริยสัจ จิตนี้มันกลั่นออกมาจากศีล สมาธิ ปัญญา มันมีการกระทำจริง มันมีความจริงของเราขึ้นมา เราแสวงหาสิ่งนี้ เราทำสิ่งนี้ เราไม่ต้องการโลกธรรม ๘ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ ลาภสักการะนะฆ่าโมฆบุรุษ

อย่างของเรา เห็นไหม สิ่งใดจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นก็เป็นศรัทธาเป็นความเชื่อของเขา เป็นคุณสมบัติของเขา เป็นอำนาจวาสนาของเขา เพราะเขามีความเชื่อของเขาเขาถึงขวนขวายมาทำบุญกุศลของเขา นั่นเป็นเรื่องของเขา ปฏิคาหก ไอ้เราสมณะ สมณะ เห็นไหม เราก็ไม่ตื่นเต้นไปกับวัตถุนั้น แต่เราเห็นเขาทำของเขา ให้ธรรมเป็นทานๆ นั่นคือสัจธรรมของเขา เราปฏิคาหก ผู้รับด้วยความบริสุทธิ์ไง ขณะรับ รับแล้วใช้แล้ว จบสิ้นแล้ว จบกันไป

แต่เวลาเขาตั้งใจ เขามีเจตนาของเขา เขาแสวงหาของเขา เขาได้ให้แล้ว ให้แล้วเขาพอใจแล้ว นี่ไงมันสะอาดบริสุทธิ์ทั้งฆราวาสทั้งผู้ให้และผู้รับ นี่ไง ถ้าเรามีผู้รับ ถ้าจิตใจเราสูงส่งมันก็สะอาดบริสุทธิ์ มันไม่มีสิ่งใดที่มันข้องแวะถึงกัน เขาก็ได้ทำของเขาแล้ว เราก็ได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว ทำจบแล้วก็จบแล้ว

ถ้าเป็นโมฆบุรุษ พรุ่งนี้จะมาอีกไหม ถ้าพรุ่งนี้ต้องให้เยอะกว่านี้นะ มันคาดไปอีก อีก ๒๔ ชั่วโมงมันคาดไปข้างหน้า มันคาดหมายไปแล้ว มันบริสุทธิ์ไหม ถ้ามันไม่บริสุทธิ์ นี่ตัณหาความทะยานอยาก อยากได้อีก แต่ของเรานะ มันเป็นอำนาจวาสนาของเขา เขามีเจตนาของเขา เขาทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเขา ไอ้ความสะอาดบริสุทธิ์ของเราสิ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ถ้ามี มีก็บริหารจัดการไป เพราะมันเป็นของของสงฆ์ ของของสงฆ์ ภิกษุได้ของของสงฆ์มาไม่รู้จักจัดการ ไม่รู้จักรักษาเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ของที่ได้มาไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ขอเขามาเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณาขอเขาไม่ได้

แต่ถ้าเขามีเจตนาเพื่อจะถวายสงฆ์ก็เป็นของของสงฆ์ ของของสงฆ์ก็พวกเราใช้ร่วมกันนี่ไง ของของสงฆ์ก็อยู่ในนี้ไง ถ้าอยู่ในนี้เราก็ดูแลรักษากันอยู่นี่ไง แล้วเราก็ไม่มีความละอายไง เพราะเราใช้ด้วยความภูมิใจ บางคนมีปมในใจนะ ไม่กล้าหยิบไม่กล้าฉวยไม่กล้าใช้ เพราะกลัวเป็นอาบัติ กลัวเป็นโทษ กลัวเป็นภัย

แต่ถ้ามันเป็นความจริง เรามีเจตนาอะไร เราเป็นอะไร ตอนนี้เราเป็นอะไร ถ้ามีสำนึกตนว่าเราเป็นพระ เราสำนึกว่าเราเป็นพระ ถ้าเราเป็นพระเป็นพระมาจากไหน เป็นพระมาจากอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มา ยกเข้าหมู่มา เห็นไหม เป็นสังฆะ นั่นสังฆะ สังฆะก็มีธรรมวินัยควบคุมอยู่นี่ไง เราก็อยู่กันในธรรมวินัยนี้ไง

ถ้าอยู่ในธรรมวินัย เราก็ลงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าใครไม่ทำตามธรรมวินัยนี้ แสดงว่าดื้อรั้นกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาบอกว่า “เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม” เพราะอะไร ? เพราะข้อวัตรปฏิบัติ ธรรมวินัยมันยืนหยัดไปแล้วนั่นคือศาสดาของเรา นี่คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ สิ่งที่เราบัญญัติไว้ ธรรมวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของพวกเธอตลอดไป” ศาสดา ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเราหมู่สงฆ์ตลอดไป

เราเถรวาท เราเชื่อในพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ที่ทำสังคายนามา ถ้าทำสังคายนามา สิ่งที่เป็นธรรมวินัยเราก็ได้ศึกษาได้เล่าเรียนกันมาด้วยกัน ถ้าเล่าเรียนมาด้วยกันเราจะบริหารจัดการอย่างไง เราจะทำอย่างไงให้เราไม่ให้มันมีความผิดพลาด ถ้ามีความผิดพลาดๆ เราระลึกรู้ทีหลัง “สิ่งใดระลึกแล้วร้องไห้คร่ำครวญ สิ่งนั้นไม่ดีเลย” เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ศึกษา เราไม่ได้กระทำ เราทำไปแล้วไง เราทำไปแล้ว แล้วมารู้ภายหลัง ร้องไห้คร่ำครวญ สิ่งนั้นไม่ดีเลย

ฉะนั้นแล้วเราศึกษาแล้ว เราเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา ทำตามนั้น ทำตามนั้น นี้ทำตามนั้นมันก็ต้องมีประสบการณ์ ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ขนาดหลวงปู่มั่นนะเวลาหลวงตาท่านพูดถึงว่าสมัยพระพุทธกาลห่มผ้าสีใด หลวงปู่มั่นท่านพยายามค้นคว้าของท่าน ท่านกำหนดจิตของท่านแล้วไถ่ถาม แล้วดูแล เห็นไหม เรื่องไม้สีฟัน เรื่องต่างๆ หลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์ท่านรื้อค้นมาทั้งนั้นนะ

สิ่งที่เราใช้ดำรงชีพกันอยู่นี่ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรื้อค้นมา ศึกษาเท่าไหร่ศึกษาแล้วก็ลังเล โลเล พอโลเลขึ้นมา วันนี้ก็ดี พรุ่งนี้ก็ร้าย มะรืนนี้ทำเสียหายหมดเลย แล้วต่อไปก็ไปเริ่มต้นใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนั้นนะ เดี๋ยวก็คึกคักขึ้นมาซะทีหนึ่ง เดี๋ยวก็ต้องฟื้นฟูประเพณีกันซะทีหนึ่ง ประเพณีนี้ก็ต้องฟื้นฟูกันขึ้นมาใหม่ทุกรอบไป ฟื้นฟูขึ้นมา เห็นไหม ฟื้นฟูๆ อย่างนั้น

แต่ถ้าจิตใจเป็นธรรม ความเสมอต้นเสมอปลาย การปฏิบัติสม่ำเสมอ ถ้าความสม่ำเสมอในหัวใจขึ้นมาก็เพื่อหัวใจดวงนี้ไง เราต้องยืนระยะ ถ้าพูดถึงพระเรายืนระยะได้ มันก็เป็นความน่าเชื่อถือ พระเราวูบวาบ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็แซงหน้าแซงหลัง เดี๋ยวก็กลายเป็นลูกตุ้มถ่วงคนอื่น ร้อยแปด ถ้าพูดถึงมันก็ว่าเป็นผู้บวชใหม่ ผู้บวชใหม่ ภิกษุบวชใหม่ทนคำสอนได้ยาก ภิกษุบวชใหม่เวลาบวชแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทนคำสอนได้ยาก เพราะฆราวาสเขา เขามีสิทธิเสรีภาพ เขามีการโต้แย้ง แต่เวลาบวชเป็นพระแล้ว เห็นไหม อาวุโส ภันเตขึ้นมา อึดอัดขัดข้องไปหมดเลย ไม่พอใจๆ ไม่พอใจอะไรทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะกิเลสมันดัน

แต่ถ้าเราศึกษาเราปฏิบัติลงไป เราดูแลของเรา เห็นไหม ความปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย การปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย เราต้องมีสติ ต้องมีขันติ ให้กาลเวลาพิสูจน์ บางอย่างเราคิดแล้วจริงหรือไม่จริง ถ้าเวลาพิสูจน์แล้วพอมันแสดงตัวออกมา เห็นไหม เราเศร้าใจ สิ่งใดทำแล้วเสียใจภายหลัง ร้องไห้คร่ำครวญ สิ่งนั้นไม่ดีเลย

ฉะนั้น พวกเธอจะทำสิ่งใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ “พวกเธอจะทำสิ่งใด ต้องตั้งสติ พิจารณาก่อน ใคร่ครวญก่อน แล้วค่อยทำ” เอวัง

<